Stop Out เกิดขึ้นเมื่อมูลค่าหลักทรัพย์สุทธิ (Equity) ในบัญชีของคุณลดลงถึงเปอร์เซ็นต์ที่กำหนดของมาร์จิ้นที่ถูกใช้ หากถึงระดับนี้ ระบบจะเริ่มปิดออเดอร์ของคุณโดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันไม่ให้ขาดทุนมากไปกว่านี้
ระดับ Stop Out ที่แท้จริงขึ้นอยู่กับประเภทบัญชีของคุณ:
บัญชี Standard → Stop Out ที่ 30%
บัญชี Boost → Stop Out ที่ 80%
Stop Out คืออะไร?
Stop Out จะถูกเรียกใช้เมื่อ เงินทุน (Equity) ในบัญชีของคุณลดลงต่ำกว่าระดับเปอร์เซ็นต์ที่กำหนดของมาร์จิ้นที่ใช้
เมื่อถึงจุดนี้ ระบบจะทำการปิดออเดอร์ที่ขาดทุนมากที่สุดก่อนโดยอัตโนมัติเพื่อลดความเสียหาย และปกป้องเงินทุนส่วนที่เหลือในบัญชีของคุณ
ตัวอย่างสถานการณ์ Stop Out ในบัญชี Standard:
สมมุติว่าคุณมีเงินในบัญชี $1,000 และคุณเปิดออเดอร์ด้วยมาร์จิ้น $100
ต่อมา หากตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับคุณ จนเกิดผลขาดทุนลอยตัว $500 จะทำให้เงินทุน (Equity) ของคุณเหลือเพียง $500
ในกรณีนี้:
มาร์จิ้นที่ใช้ (Used Margin) = $100
เงินทุน Equity = $500
ระดับมาร์จิ้น (Margin Level) = $500 ÷ $100 = 500%
ตอนนี้มาคำนวณว่าเมื่อไรจะเกิด Stop Out:
30% ของมาร์จิ้นที่ใช้ ($100) = $30
ซึ่งหมายความว่า หาก Equity ของคุณลดลงเหลือ $30 หรือน้อยกว่า (ขาดทุนรวม $970) ระบบจะเริ่มปิดสถานะของคุณเพื่อจำกัดความเสียหายเพิ่มเติม
ตัวอย่างสถานการณ์ Stop Out ในบัญชี Boost
ยอดคงเหลือรวมโบนัส: $1,000
มาร์จิ้นที่ใช้เปิดออเดอร์: $100
ระดับ Stop Out ในบัญชีนี้คือ 80% ของมาร์จิ้น:
80% ของ $100 = $80
นั่นหมายความว่า หาก Equity ของคุณลดลงเหลือ $80 หรือต่ำกว่า Stop Out จะเกิดขึ้น และระบบจะปิดออเดอร์ที่ขาดทุน
เนื่องจากระดับ Stop Out สูงกว่า (80% เทียบกับ 30%) ดังนั้นในบัญชี Boost จะมี พื้นที่สำหรับการขาดทุนน้อยกว่า คุณจึงควรบริหารจัดการการเทรดอย่างระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกปิดออเดอร์ก่อนเวลา
วิธีป้องกัน Stop Out อย่างมีประสิทธิภาพ:
ตรวจสอบระดับมาร์จิ้นอย่างสม่ำเสมอ:
หมั่นเช็กระดับมาร์จิ้นของคุณ และอย่าให้ลดต่ำเกินไป คุณสามารถดูระดับมาร์จิ้นได้ในเทอร์มินัลของ LBX เพื่อรับรู้ถึงความเสี่ยงตั้งค่า Stop-Loss เสมอ:
Stop-Loss จะช่วยจำกัดการขาดทุนเมื่อราคาตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับคุณ ควรตั้งจุด Stop-Loss ที่เหมาะสมทุกครั้งที่เปิดออเดอร์เพิ่มเงินในบัญชี:
หากคุณเห็นว่าระดับมาร์จิ้นลดลง คุณสามารถเติมเงินเข้าบัญชีเพื่อสนับสนุนสถานะที่เปิดอยู่ ป้องกันการถึงระดับ Stop Outใช้เลเวอเรจอย่างเหมาะสม:
แม้ว่าเลเวอเรจจะช่วยเพิ่มผลกำไรได้ แต่มันก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการ Stop Out เช่นกัน อย่าใช้เลเวอเรจมากเกินไป และควรคำนึงถึงความสามารถในการรับความผันผวนของตลาดกระจายความเสี่ยงในการเทรด:
หลีกเลี่ยงการลงทั้งหมดในออเดอร์เดียว การกระจายการลงทุนในหลายออเดอร์จะช่วยลดความเสี่ยง และจำกัดผลกระทบหากเกิด Stop Out
เคล็ดลับเพิ่มเติมในการจัดการความเสี่ยง:
ใช้ขนาดออเดอร์ที่เล็กลงเพื่อควบคุมการใช้มาร์จิ้นให้มีประสิทธิภาพ
เฝ้าระวังความผันผวนของตลาด เพราะการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วอาจทำให้ระดับมาร์จิ้นลดลงอย่างรวดเร็ว
โดยการปฏิบัติตามกลยุทธ์เหล่านี้ และบริหารจัดการมาร์จิ้นอย่างรอบคอบ คุณจะสามารถลดความเสี่ยงของการเกิด Stop Out และปกป้องบัญชีของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บทความนี้มีประโยชน์หรือไม่?
เยี่ยมเลย!
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นของคุณ
ขออภัยที่เราช่วยเหลือไม่ได้!
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นของคุณ
ส่งข้อเสนอแนะแล้ว
เราขอขอบคุณในความพยายามของคุณ และจะพยายามแก้ไขบทความดังกล่าว